*ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นอยู่กับบุคคล
อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์
นับตั้งแต่มีการแยกเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ได้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1993 ก็มีการพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งล่าสุดในปี ค.ศ. 2012 องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้แนะนำให้เพิ่มไวรัสสายพันธุ์ B เข้าในวัคซีนอีกหนึ่งสายพันธุ์ เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นคือ Quadrivalent Influenza Vaccine ซึ่งครอบคลุมไวรัส 4 สายพันธุ์ดังต่อไปนี้
1. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1
2. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/ H3N2
3. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Victoria
4. ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B ตระกูล Yamagata
องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ครอบคลุมมากขึ้นจากเดิม
การศึกษาถึงประโยชน์จากการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์(Quadrivalent Influenza vaccine) ในต่างประเทศพบว่า
- ในประเทศอังกฤษ พบว่าการใช้วัคซีนชนิด 4 สายพันธุ์ มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่โดยเฉพาะสายพันธุ์ B มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 18%
- ในประเทศอเมริกา หากมีการใช้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ทดแทน วัคซีนชนิด 3 สายพันธุ์ จะช่วยลดผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 1.3 ล้านราย/ต่อปี ลดการเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 12,472 ราย /ต่อปี และลดการเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 663 ราย /ต่อปี
- ในอเมริกา หากมีการใช้วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ชนิด 4 สายพันธุ์ในโปรแกรมสาธารณสุขพื้นฐานของประเทศในช่วง 20 ปีข้างหน้า พบว่ามีความคุ้มค่า จะช่วยลดผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 13.3 ล้านราย ลดการเข้ารพ.ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 113,000 ราย และลดการเสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มมากขึ้น 13,200 ราย ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มขึ้น 31,000 ล้านดอลลาร์ ลดค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ได้เพิ่มขึ้น 600 ล้านดอลลาร์
https://www.facebook.com/doctorYada/photos/pcb.1765187080195208/1765187050195211/?type=3&theater